ชีวิตมันทุกข์เป็นเดิมอยู่แล้ว หยุดเพิ่มทุกข์ให้ตัวเอง ด้วยการฟังเพลงเศร้า ดูละครที่มีเนื้อหารุนแรง และดราม่าชวนน้ำตาตก เลี่ยงการดูข่าว เพราะข่าวทีวีไทยมีแต่ข่าวสร้างอกุศลจิตเกือบหมด ฆาตกรรม รุนแรง เรื่องชวนขัดใจ ข่าวการเมืองก็มีแต่เรื่องชวนสงสัยถึงการโกงกิน การจัดการปัญหาแบบทิ้งรักลงแม่น้ำ
..
แม้แต่การฟังธรรมะทั้งวันทั้งคืน ไม่ให้เวลาจิตได้พักบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องดี สำหรับคนที่ยังไม่ได้จริงจังอยากรีบพ้นทุกข์ ก็อนุโลมสร้างโมหะให้ตนได้บ้าง ด้วยการดูซีรีส์ขำขัน แฟนตาซีคลายเครียด หรือดูการ์ตูนไปเลยซะยังดีกว่า ละครแย่งผัวเมีย ตลกเถื่อนถ่อย ที่มมีเกลื่อน ยังไม่นับกับที่ไม่สมเหตุสมผล สร้างจิตแห่งการไม่ยอมรับเห็นตามจริงเข้าไปยิ่งขึ้นไปอีก
..
การดูสิ่งบันเทิงแนวแฟนตาซี แล้วระลึกรู้ว่า ดูเอาสนุก เสริมจินตนาการ และต้องคอยระลึกรู้ว่า มันคือสิ่งสมมุติ อย่าจมไปในสิ่งที่กำลังดูสุดตัว ระลึกรู้บ้างว่า เหตุผลความจริงมันเป็นไปได้ไหม เทียบกับชีวิตจริง
..
ดูละครแล้วย้อนดูตัว มันมีแง่คิดอะไรเอามาเป็นประโยชน์ได้บ้าง .. เช่น.. ฮ่องเต้สวรรคต อำนาจ เงินทองที่มีทั้งหมด มันเกิดประโยชน์อะไร สุดท้ายเอาอะไรไปได้ ถ้าพิจารณาเป็น มันก็อาจเห็นธรรมได้ลึก เกิดสลดสังเวชใจ ได้ยิ่งกว่าการไปอยู่วัด ที่แค่สักแต่ได้ไป แต่จิตฟุ้งซ่าน ไม่เกิดสติ ปัญญาอะไรเลยซะอีก
..
บางทีก็สงสัย ว่าทำไมคนส่วนใหญ่ชอบทำชีวิตให้ทุกข์มากขึ้น ด้วยการเพิ่มทุกข์ให้ตัวเอง กับการฟังเพลงเศร้า บีบเค้นน้ำตาตกใน หรือเลือกหนังดราม่าแรง ๆ มาดูให้จิตตก ชีวิตมันก็ทุกข์อยู่แล้ว มากพอแล้ว ทำไมต้องสร้างอกุศลจิตเพิ่มให้ตัวเอง เพื่อดึงเอาความอัปมงคลเข้ามาในชีวิตได้เพิ่ม และง่ายขึ้นไปอีก
..
กิจกรรมในครอบครัว ปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ จัดบ้าน ทำความสะอาด เลือกของไปบริจาค แยกของที่ไมไ่ด้ใช้ รดน้ำต้นไม้ มองหาอาชีพใหม่ๆ ธุรกิจใหม่เผื่อไว้ในอนาคต เน้นการพึ่งพาตนเอง หากมีที่ก็หาปลูกอะไรที่ดูแลน้อย ๆ แต่มีโอกาสได้กินได้ใช้ และอาจขายได้ในอนาคต ฯลฯ
..
หลายสิ่งที่ล้วนสร้างกุศลจิตทางอ้อม รองไปจากการทำบุญ แผ่เมตตา สวดมนต์ ทำสมาธิ ฟังธรรม (ที่ถูกระดับจิต) ช่วงนี้มีแต่คนเครียด ซึ่งส่วนใหญ่ก็ทำตัวเอง เพราะไม่เคยเผื่อใจ เพราะทำอะไรเกินตัว มีเงินก็ซื้อผ่อนเกินฐานะ มีใช้วันนี้ไม่เคยเผื่อวันหน้า ติดหรู กินแพง ไม่รู้จักคำว่าพอเพียง ที่แปลว่า พอดีสมฐานะ
..
แต่ก็ยังเลือกที่จะเอาตัวเองเข้าไปสุมหัว ในกลุ่ม ในเว็บไซต์ที่ รวมกันเพื่อด่า ด่า และด่า.. ทุกอย่างที่สามารถโทษได้ แม้มันจะเลวจริง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องไปสร้างทุกข์อกุศลจิตให้ตัวเองด้วยการ นั่งตามอ่านแล้วด่าตามในใจ จนถึงกับต้องเขียนด่าร่วมไปด้วยแทบจะทั้งวัน
..
หลายคนทุกข์พอแล้ว ก็ยังจะนั่งดูข่าวแล้วก็ด่าโทษมันไปหมด แต่ไม่เคยโทษตัวเอง และก็ไม่คิดจะทำอะไรที่มันดีต่อตัวเอง และคนรอบข้าง รอคอยแต่ให้คนอื่นมาทำดีให้กับตัวเอง
..
ไม่พอ ยังแสวงหาแต่สื่อที่สร้างอกุศลจิตให้เกิดขึ้น ลองสำรวจจิตบ่อย ๆ ว่า ดูอะไร ฟังอะไร แล้วจิตมันสดชื่น แจ่มใส มีสติ มีกำลังใจ หรือฟังแล้วดูแล้ว จิตมันหดหู่ โกรธ อยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากทำร้าย อยากด่า น้ำตาตก ฯลฯ
..
แล้วถามตัวเองว่า.. ทั้งชีวิต ทุกข์พอหรือยัง แล้วถ้าตายตอนนี้ จิตแบบนี้จะไปดีหรือไปร้าย ถามตัวเองบ่อย ๆ ว่าได้อะไรจากการเสพสื่อต่าง ๆ แม้แต่คุยกับคนรอบข้าง ถามตัวเองบ่อย ๆ จิตจะตอบได้เองว่า.. สิ่งใดควรเสพ ไม่ควรเสพ แล้วสุดท้าย จะตัดขาดจากสิ่งที่นำความทกข์มาให้ได้โดยละม่อม
..
บางครั้งการตัดขาดแบบหักดิบ ก็ไม่ใช่สิ่งที่ดี เกิดมาหลายแสนชาติ สะสมความเคยชิน ความชอบ ความติดใจ มานาน จะให้มันหมดไปแค่หยุดเพียงชั่วคราว อาจเจอแค่กิเลสหลบใน ก็ตามใจมันบ้าง แต่แค่กินปลาอย่าให้โดนก้าง
..
การตั้งคำถามให้ตัวเองบ่อย ๆ ว่าที่กำลังทำ กำลังเสพ กำลังใช้ กำลังดูอยู่ มันได้อะไร ถามบ่อย ๆ หากประกอบกับศรัทธาในกฎแห่งกรรม และเชื่อว่าชาติหน้ามีจริง ตายแล้วไม่สูญ เชื่อเถอะครับว่า คำถามที่ถามตัวเองบ่อย ๆ จะเป็นแสงสว่างเล็ก ๆ ในความมืด ที่พาเราเดินหาทางเจอ พ้นไปจากความทุกข์ระทมในความมืดเดิม ไปสู่แสงสว่างปลายอุโมงค์ที่สว่างเจิดจ้าได้จริง
..
ได้กินอาหารอร่อย ให้คิดถึงปลายทางว่า.. สุดท้ายมันจะกลายเป็นขี้ ที่เราเองยังรังเกียจ ได้เจอคนน่ารัก.. ให้คิดถึงข้างในว่า เต็มไปด้วยเลือด น้ำเหลือง น้ำลาย ขี้เยี่ยว ของเสียอยู่ภายใน แค่หนังถลอกก็หมดน่ารักแล้ว // อยากรวย อยากมีอยากได้อะไร ก็มองให้เห็นว่า ถ้าพรุ่งนี้หัวใจวายตาย ตื่นไม่ได้ เอาอะไรไปได้นอกจากกุศลจิตที่จะนำไปสุคติ
..
คิดถึงฏกแห่งกรรมไว้มาก ๆ ว่าจะได้อะไร ต้องทำไว้ คนที่ไม่ขยันศึกษาหาความรู้ จะฉลาดกว่าคนที่นอนอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ สุขสมบัติที่ได้ ลาภลอยไม่มี มันต้องจากบุญที่ทำไว้ทั้งนั้น มาให้ผล
..
การจะพ้นทุกข์ ไม่จำเป็นต้องตัดขาดจากโลก จากความทันสมัย จากกิเลสล่อใจ แต่มันอยู่ได้พร้อมกัน กับสติที่เพียรให้เกิดในทุกอิริยาบถ และพิจารณาให้เป็นธรรม เห็นความจริง ไม่ใช่ฝืนมองโลกในแง่ดี
..
คนมีธรรมะ กับคนไม่มีธรรมะ ยังโกรธได้เหมือนกัน (ถ้ายังไม่บรรลุอนาคามีขึ้นไป) แต่ต่างกันแค่ คนมีธรรมะโกรธ ต่อให้ด่าออกมา ทุกครั้งจะรู้สึกผิดที่โกรธ หรือด่า แล้วจะหาทางว่า ทำอย่างไร จะไม่โกรธไม่ด่า แต่คนไม่มีธรรมะคือด่าเอามัน ด่าให้สะใจ แล้วคิดอย่างเดียวว่า เมื่อไหร่คนและสิ่งต่าง ๆ จะหยุดทำให้ฉันโกรธซะที
..
นี่เป็นสิ่งที่แยกคนออกจา เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย อย่ามองว่าคนสนใจธรรมะ ต้องดีสนิท เพราะมันมีหลายระดับ หลายจริต หลายคนก็หวังจะให้คนอื่นเป็นอย่งที่หวัง คือ ทุกคนต้องเป็นดั่งพระอรหันต์ ดีประเสริฐ แต่ตัวเองไม่เคยทำได้แม้ศีลขั้นต้น
..
แล้วก็ทุกข์ใจ โกรธเคืองทีเขาไม่เป็นตามต้องการ และก็เฝ้าว่า.. เมื่อไหร่ มันและคนทั้งโลก จะเป็นอย่างที่กูต้องการซะที สะสมอกุศลจิต ดึงความมืดเข้าคลุมจิต มีแต่พลังงานลบ ดึงเอาสิ่งร้าย ๆ เข้าชีวิต
..
ดูเอาเถอะว่า.. ในข่าวคนฆ่าตัวตาย ทุกข์ใจ ส่วนใหญ่ก็มาจากตัวเอง ส่วนใหญ่ก็เพราะเลือกคู่ผิด ได้คนรักผิด เลี้ยงลูกผิด เลือกงานผิด ใช้ชี่วิตผิด ผ่อนของเกินฐานะ ใช้เงินเกินฐานะ ฯลฯ ทำตัวเองทั้งนั้น แล้วอะไรที่ทำให้นำพาไปสู่สิ่งเลวร้าย มีเพียงไม่กี่คนที่จะยอมรับว่า.. มันเกิดจากจิตอันไม่เป็นกุศล เป็นเบื้องต้น ที่ชักนำชีวิตไปสู่ความมืด ไม่ได้เห็นแสงสว่าง
..
สิ่งที่คนมองข้าม ก็คือ จิตสว่างผ่องใส จะไม่เกิด ถ้าเรายังเสพสื่อสารพัด ที่นำพาจิตไปสู่ความมืด เสพสิ่งที่สร้างอกุศลจิตให้ตัวเองทุกวัน และมากมายเข้าถึงง่ายผ่านมือถือ แบบในทุกวันนี้ครับ
..
หลักสำคัญศาสนาพุทธ จึงมีแค่.. ทำดี เว้นชั่ว ทำจิตผ่องใส ที่ท่องกันได้เกือบทั้งประเทศ แต่หาได้เข้าใจว่า จิตผ่องใส คือจิตอย่างไร แล้วทำอย่างไร ต้องหลีกเลี่ยงอะไรบ้าง ตื่นเช้ามาก็เริ่มต้นชีวิตด้วยอกุศลจิตกันโดยมากแล้ว
..
แม้แต่การฟังธรรมะทั้งวันทั้งคืน ไม่ให้เวลาจิตได้พักบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องดี สำหรับคนที่ยังไม่ได้จริงจังอยากรีบพ้นทุกข์ ก็อนุโลมสร้างโมหะให้ตนได้บ้าง ด้วยการดูซีรีส์ขำขัน แฟนตาซีคลายเครียด หรือดูการ์ตูนไปเลยซะยังดีกว่า ละครแย่งผัวเมีย ตลกเถื่อนถ่อย ที่มมีเกลื่อน ยังไม่นับกับที่ไม่สมเหตุสมผล สร้างจิตแห่งการไม่ยอมรับเห็นตามจริงเข้าไปยิ่งขึ้นไปอีก
..
การดูสิ่งบันเทิงแนวแฟนตาซี แล้วระลึกรู้ว่า ดูเอาสนุก เสริมจินตนาการ และต้องคอยระลึกรู้ว่า มันคือสิ่งสมมุติ อย่าจมไปในสิ่งที่กำลังดูสุดตัว ระลึกรู้บ้างว่า เหตุผลความจริงมันเป็นไปได้ไหม เทียบกับชีวิตจริง
..
ดูละครแล้วย้อนดูตัว มันมีแง่คิดอะไรเอามาเป็นประโยชน์ได้บ้าง .. เช่น.. ฮ่องเต้สวรรคต อำนาจ เงินทองที่มีทั้งหมด มันเกิดประโยชน์อะไร สุดท้ายเอาอะไรไปได้ ถ้าพิจารณาเป็น มันก็อาจเห็นธรรมได้ลึก เกิดสลดสังเวชใจ ได้ยิ่งกว่าการไปอยู่วัด ที่แค่สักแต่ได้ไป แต่จิตฟุ้งซ่าน ไม่เกิดสติ ปัญญาอะไรเลยซะอีก
..
บางทีก็สงสัย ว่าทำไมคนส่วนใหญ่ชอบทำชีวิตให้ทุกข์มากขึ้น ด้วยการเพิ่มทุกข์ให้ตัวเอง กับการฟังเพลงเศร้า บีบเค้นน้ำตาตกใน หรือเลือกหนังดราม่าแรง ๆ มาดูให้จิตตก ชีวิตมันก็ทุกข์อยู่แล้ว มากพอแล้ว ทำไมต้องสร้างอกุศลจิตเพิ่มให้ตัวเอง เพื่อดึงเอาความอัปมงคลเข้ามาในชีวิตได้เพิ่ม และง่ายขึ้นไปอีก
..
กิจกรรมในครอบครัว ปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ จัดบ้าน ทำความสะอาด เลือกของไปบริจาค แยกของที่ไมไ่ด้ใช้ รดน้ำต้นไม้ มองหาอาชีพใหม่ๆ ธุรกิจใหม่เผื่อไว้ในอนาคต เน้นการพึ่งพาตนเอง หากมีที่ก็หาปลูกอะไรที่ดูแลน้อย ๆ แต่มีโอกาสได้กินได้ใช้ และอาจขายได้ในอนาคต ฯลฯ
..
หลายสิ่งที่ล้วนสร้างกุศลจิตทางอ้อม รองไปจากการทำบุญ แผ่เมตตา สวดมนต์ ทำสมาธิ ฟังธรรม (ที่ถูกระดับจิต) ช่วงนี้มีแต่คนเครียด ซึ่งส่วนใหญ่ก็ทำตัวเอง เพราะไม่เคยเผื่อใจ เพราะทำอะไรเกินตัว มีเงินก็ซื้อผ่อนเกินฐานะ มีใช้วันนี้ไม่เคยเผื่อวันหน้า ติดหรู กินแพง ไม่รู้จักคำว่าพอเพียง ที่แปลว่า พอดีสมฐานะ
..
แต่ก็ยังเลือกที่จะเอาตัวเองเข้าไปสุมหัว ในกลุ่ม ในเว็บไซต์ที่ รวมกันเพื่อด่า ด่า และด่า.. ทุกอย่างที่สามารถโทษได้ แม้มันจะเลวจริง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องไปสร้างทุกข์อกุศลจิตให้ตัวเองด้วยการ นั่งตามอ่านแล้วด่าตามในใจ จนถึงกับต้องเขียนด่าร่วมไปด้วยแทบจะทั้งวัน
..
หลายคนทุกข์พอแล้ว ก็ยังจะนั่งดูข่าวแล้วก็ด่าโทษมันไปหมด แต่ไม่เคยโทษตัวเอง และก็ไม่คิดจะทำอะไรที่มันดีต่อตัวเอง และคนรอบข้าง รอคอยแต่ให้คนอื่นมาทำดีให้กับตัวเอง
..
ไม่พอ ยังแสวงหาแต่สื่อที่สร้างอกุศลจิตให้เกิดขึ้น ลองสำรวจจิตบ่อย ๆ ว่า ดูอะไร ฟังอะไร แล้วจิตมันสดชื่น แจ่มใส มีสติ มีกำลังใจ หรือฟังแล้วดูแล้ว จิตมันหดหู่ โกรธ อยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากทำร้าย อยากด่า น้ำตาตก ฯลฯ
..
แล้วถามตัวเองว่า.. ทั้งชีวิต ทุกข์พอหรือยัง แล้วถ้าตายตอนนี้ จิตแบบนี้จะไปดีหรือไปร้าย ถามตัวเองบ่อย ๆ ว่าได้อะไรจากการเสพสื่อต่าง ๆ แม้แต่คุยกับคนรอบข้าง ถามตัวเองบ่อย ๆ จิตจะตอบได้เองว่า.. สิ่งใดควรเสพ ไม่ควรเสพ แล้วสุดท้าย จะตัดขาดจากสิ่งที่นำความทกข์มาให้ได้โดยละม่อม
..
บางครั้งการตัดขาดแบบหักดิบ ก็ไม่ใช่สิ่งที่ดี เกิดมาหลายแสนชาติ สะสมความเคยชิน ความชอบ ความติดใจ มานาน จะให้มันหมดไปแค่หยุดเพียงชั่วคราว อาจเจอแค่กิเลสหลบใน ก็ตามใจมันบ้าง แต่แค่กินปลาอย่าให้โดนก้าง
..
การตั้งคำถามให้ตัวเองบ่อย ๆ ว่าที่กำลังทำ กำลังเสพ กำลังใช้ กำลังดูอยู่ มันได้อะไร ถามบ่อย ๆ หากประกอบกับศรัทธาในกฎแห่งกรรม และเชื่อว่าชาติหน้ามีจริง ตายแล้วไม่สูญ เชื่อเถอะครับว่า คำถามที่ถามตัวเองบ่อย ๆ จะเป็นแสงสว่างเล็ก ๆ ในความมืด ที่พาเราเดินหาทางเจอ พ้นไปจากความทุกข์ระทมในความมืดเดิม ไปสู่แสงสว่างปลายอุโมงค์ที่สว่างเจิดจ้าได้จริง
..
ได้กินอาหารอร่อย ให้คิดถึงปลายทางว่า.. สุดท้ายมันจะกลายเป็นขี้ ที่เราเองยังรังเกียจ ได้เจอคนน่ารัก.. ให้คิดถึงข้างในว่า เต็มไปด้วยเลือด น้ำเหลือง น้ำลาย ขี้เยี่ยว ของเสียอยู่ภายใน แค่หนังถลอกก็หมดน่ารักแล้ว // อยากรวย อยากมีอยากได้อะไร ก็มองให้เห็นว่า ถ้าพรุ่งนี้หัวใจวายตาย ตื่นไม่ได้ เอาอะไรไปได้นอกจากกุศลจิตที่จะนำไปสุคติ
..
คิดถึงฏกแห่งกรรมไว้มาก ๆ ว่าจะได้อะไร ต้องทำไว้ คนที่ไม่ขยันศึกษาหาความรู้ จะฉลาดกว่าคนที่นอนอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ สุขสมบัติที่ได้ ลาภลอยไม่มี มันต้องจากบุญที่ทำไว้ทั้งนั้น มาให้ผล
..
การจะพ้นทุกข์ ไม่จำเป็นต้องตัดขาดจากโลก จากความทันสมัย จากกิเลสล่อใจ แต่มันอยู่ได้พร้อมกัน กับสติที่เพียรให้เกิดในทุกอิริยาบถ และพิจารณาให้เป็นธรรม เห็นความจริง ไม่ใช่ฝืนมองโลกในแง่ดี
..
คนมีธรรมะ กับคนไม่มีธรรมะ ยังโกรธได้เหมือนกัน (ถ้ายังไม่บรรลุอนาคามีขึ้นไป) แต่ต่างกันแค่ คนมีธรรมะโกรธ ต่อให้ด่าออกมา ทุกครั้งจะรู้สึกผิดที่โกรธ หรือด่า แล้วจะหาทางว่า ทำอย่างไร จะไม่โกรธไม่ด่า แต่คนไม่มีธรรมะคือด่าเอามัน ด่าให้สะใจ แล้วคิดอย่างเดียวว่า เมื่อไหร่คนและสิ่งต่าง ๆ จะหยุดทำให้ฉันโกรธซะที
..
นี่เป็นสิ่งที่แยกคนออกจา เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย อย่ามองว่าคนสนใจธรรมะ ต้องดีสนิท เพราะมันมีหลายระดับ หลายจริต หลายคนก็หวังจะให้คนอื่นเป็นอย่งที่หวัง คือ ทุกคนต้องเป็นดั่งพระอรหันต์ ดีประเสริฐ แต่ตัวเองไม่เคยทำได้แม้ศีลขั้นต้น
..
แล้วก็ทุกข์ใจ โกรธเคืองทีเขาไม่เป็นตามต้องการ และก็เฝ้าว่า.. เมื่อไหร่ มันและคนทั้งโลก จะเป็นอย่างที่กูต้องการซะที สะสมอกุศลจิต ดึงความมืดเข้าคลุมจิต มีแต่พลังงานลบ ดึงเอาสิ่งร้าย ๆ เข้าชีวิต
..
ดูเอาเถอะว่า.. ในข่าวคนฆ่าตัวตาย ทุกข์ใจ ส่วนใหญ่ก็มาจากตัวเอง ส่วนใหญ่ก็เพราะเลือกคู่ผิด ได้คนรักผิด เลี้ยงลูกผิด เลือกงานผิด ใช้ชี่วิตผิด ผ่อนของเกินฐานะ ใช้เงินเกินฐานะ ฯลฯ ทำตัวเองทั้งนั้น แล้วอะไรที่ทำให้นำพาไปสู่สิ่งเลวร้าย มีเพียงไม่กี่คนที่จะยอมรับว่า.. มันเกิดจากจิตอันไม่เป็นกุศล เป็นเบื้องต้น ที่ชักนำชีวิตไปสู่ความมืด ไม่ได้เห็นแสงสว่าง
..
สิ่งที่คนมองข้าม ก็คือ จิตสว่างผ่องใส จะไม่เกิด ถ้าเรายังเสพสื่อสารพัด ที่นำพาจิตไปสู่ความมืด เสพสิ่งที่สร้างอกุศลจิตให้ตัวเองทุกวัน และมากมายเข้าถึงง่ายผ่านมือถือ แบบในทุกวันนี้ครับ
..
หลักสำคัญศาสนาพุทธ จึงมีแค่.. ทำดี เว้นชั่ว ทำจิตผ่องใส ที่ท่องกันได้เกือบทั้งประเทศ แต่หาได้เข้าใจว่า จิตผ่องใส คือจิตอย่างไร แล้วทำอย่างไร ต้องหลีกเลี่ยงอะไรบ้าง ตื่นเช้ามาก็เริ่มต้นชีวิตด้วยอกุศลจิตกันโดยมากแล้ว