การสมาทานศีล สำหรับฆราวาส ศีล5 เบื้องต้น ทำไม่ได้พ้นทุกข์ไม่ได้ ไม่ใช่ข้อบังคับ ที่ทำผิดแล้วจะถูกลงโทษ แต่เป็นข้อแนะนำว่า ทำสิ่งนี้ จะได้สิ่งนี้ เมื่อผิดศีลแต่ละข้อจะมีวิบากเป็นผลกรรมส่งกลับคืนมาหาในวันใดวันหนึ่ง ตามสิ่งที่ทำ การฆ่า ส่งให้อายุสั้น ถูกฆ่า ป่วยง่าย เป็นต้น
การดื่มของมึนเมา เหล้า เป็นอันตรายที่สุดกว่าการละเมิดศีลทุกข้อ เพราะทำลายสติ (ซึ่งสำคัญมากสำหรับการปฏิบัติธรรม มีผลต่อการไปเกิดสุคติหรืออบายภูมิ) ทำลายคุณธรรมในตน ทำลายจิตมนุษย์ให้ไหลลงต่ำ อันจะทำให้บรรลุธรรมไม่ได้ เป็นสิ่งที่หลายคนมองข้ามและคิดว่าไม่ผิดบาปอะไร
แต่กินเหล้าจะทำให้จิตเป็นอกุศล กิเลสต่าง ๆ จะครอบงำได้ทันที และฝังลึก ยากจะถอน และต้องไปทุคติเพียงอย่างเดียว หากมีบุญด้านอื่น ได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็จะเกิดมาสมองพิการ ปัญญาอ่อน หรือโง่ เข้าใจอะไรยาก ลองคิดดูว่า .. มันอันตรายและมีภัยเวรหนักหนาแค่ไหน กับการดื่มเหล้า
ถ้าสมาทานเอง ขาดข้อใด ถือว่าขาดแค่ข้อนั้น ให้ระลึกรู้ว่าข้อใดขาดแล้วเริ่มสมาทานใหม่ได้เลย อานิสงส์ข้ออื่นยังอยู่ครบถ้วน หากยังทำได้ไม่ครบ ให้สมาทานข้อที่ทำได้แน่ ๆ แล้วมั่นคงอย่าให้ขาด จิตพัฒนาข้ออื่นจะตามมาเอง
..
สำหรับนักบวช 10 ข้อเบื้องต้น ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องพูดถึงข้ออื่น ขาดข้อใดข้อหนึ่ง ถือว่าขาดทั้งหมด และนักบวชไม่มีศีล ย่อมเจริญธรรมไม่ได้ บรรลุธรรมไม่ได้ และถือเป็นบาปร้ายแรงดังพุทธพจน์ที่ตรัสว่า เป็นหนี้บริโภค การกินข้าวชาวบ้านโดยที่ตัวไม่มีศีล ไม่มีสติ ยังไม่เท่ากินก้อนไฟร้อนแรงลงในปาก ฯลฯ
ยกตัวอย่าง. พระพุทธเจ้าตรัสว่า .. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมบำรุงกษัตริย์บ้าง พราหมณ์บ้าง คฤหบดีบ้าง บำรุงคนชั้นสูงชั้นต่ำ บำรุงสมณะหรือพราหมณ์ผู้เห็นผิด ผู้ปฏิบัติผิด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การบำรุงนี้นั้นมีอยู่ เราไม่กล่าวว่า ไม่มี ก็แต่ว่าการบำรุงนี้นั้นเป็นการบำรุงที่เลว ฯ (อนุตริยสูตร พระสุตตันตปิฏกเล่ม 14)
..
ถ้าสำนักพุทธจะเคร่งครัดแล้วทำให้นักบวชทุกวัดทั่วประเทศ มีศีลสิบข้อแรกบริสุทธิ์ เท่านี้ก็เชื่อว่า จะกำจัดมารศาสนา พวกปลอมบวชออกไปได้จำนวนมาก ผู้ตั้งใจบวชจริง ศีลจะคือความสุข ผู้ปลอมบวช ศีลจะคือสิ่งที่ไม่ต่างกับกรงขัง อึดอัด แน่นทึบ และไม่สามารถรักษาศีลได้ ความเสียหายจนถึงปาราชิก ท่านว่าก็เพราะรักษาศีล 10 ข้อต้นนี้ไม่ได้นั่นแหละ จึงเป็นเหตุชักจูงไปถึงปราชิกในอนาคต
..
หมายเหตุ : การไม่รับทองเงิน ความหมายคือ ไม่รับไว้เป็นของส่วนตัว ด้วยจิตที่คิดหวังเป็นของส่วนตัว โลกอยากได้ หวงแหนเหมือนสมับติส่วนตัว แต่ถ้ารับแล้วตั้งใจเก็บไว้เพื่อส่วนรวม หรือเพื่อของสงฆ์ ข้อนี้อนุโลมได้ว่าไม่ขาด แต่ก็มัวหมองอยู่ดี
..
ความจริง สำนักพุทธ ควรจะจัดการเรื่องนี้ให้ถูกต้องตามธรรมวินัย กำหนดกฎหมายข้อปฏิบัติให้วัดทุกวัด ห้ามรับเงินเป็นของส่วนตัว แต่ให้มีกองกลางที่โปร่งใส โดยมีคณะกรรมการวัดดูแล พระจะใช้อะไรก็เบิกไปใช้ เท่าที่จำเป็น หรือเบิกไปเกินไปก่อน กรณีเดินทาง แล้วเหลือค่อยเอามาคืน เห็นอ้างกันจังว่า บลาๆ แต่พระพุทธเจ้าตรัสห้ามพระรับเงิน ไม่ฟังกันเลย ก็สึกออกไปดีกว่ามังครับ บวชเพื่อสละ ไม่ได้บวชเพื่อมาสะสมเงินทองนะจ๊ะ
..
ถ้าทำได้จริง พระเณรก็ไม่เดือดร้อน อาจแบ่งส่วนหนึ่งเหมือน Vat เป็นกองกลางของสงฆ์ทั้งประเทศ วัดกันดาร ก็ได้เบิกไปใช้ยามจำเป็น เราควรอยู่แบบองค์กรสงฆ์ระดับประเทศ ไม่ใช่วัดใครวัดมัน เขตใครเขตมัน ไม่ใช่รวยกระจุก จนกระจาย วัดที่มีก็ล้นเหลือ วัดที่ขาดแคลนก็ขาดซะ
..
ทำได้แบบนี้ พระทั่วประเทศจะสบายขึ้น ลดภาระการเกี่ยวข้องกับเงินทอง ที่จะนำไปสู่ปาราชิกได้ ลดพวกมารศาสนา ที่จะอยู่ไม่ได้ เพราะที่อยู่ได้ ก็เพราะมันได้เงินง่ายไง ไม่มีอะไรทำก็มาบวช จนผู้คนเสื่อมศรัทธา
ถ้าสำนักพุทธไม่ทำอะไรให้ดีขึ้นกว่าปัจจุบัน ผมว่า อย่าว่าแต่ห้าพันปีเลย เอาแค่สองพันกว่าปีนี่ คนก็แทบไม่อยากไปทำบุญ ไม่อยากไหว้พระกันแล้ว แม้จะรู้ว่าพระดีมีอีกมาก แต่ปกติของพระดี ท่านก็ไม่ค่อยคลุกคลีกับผู้คน ยกเว้นมาเทศนาโปรดแสดงธรรมเป็นหลักเท่านั้น (จริงไหม??)
..
โลกมันเสื่อมทรามอย่างน่าใจหาย ภายในแค่สิบกว่าปี หลังจากเน็ตแรงขึ้นนี่หละ ความชั่วทำได้ไว เข้าถึงได้ง่าย จิตเป็นอกุศลกันง่ายกว่าเดิมมาก มันถึงได้เดือดร้อนกันไม่เว้นวันอยู่นี่หละครับ)
การดื่มของมึนเมา เหล้า เป็นอันตรายที่สุดกว่าการละเมิดศีลทุกข้อ เพราะทำลายสติ (ซึ่งสำคัญมากสำหรับการปฏิบัติธรรม มีผลต่อการไปเกิดสุคติหรืออบายภูมิ) ทำลายคุณธรรมในตน ทำลายจิตมนุษย์ให้ไหลลงต่ำ อันจะทำให้บรรลุธรรมไม่ได้ เป็นสิ่งที่หลายคนมองข้ามและคิดว่าไม่ผิดบาปอะไร
- การฆ่าคนถ้ากลับตัวกลับใจได้ ทำความดีไถ่โทษ สำนึกบาป แล้วหันมาปฏิบัติธรรมจริงจัง ยังพ้นนรกได้ในชาติเดียวกันนั้น อย่างเช่น พระองคุลีมาล
แต่กินเหล้าจะทำให้จิตเป็นอกุศล กิเลสต่าง ๆ จะครอบงำได้ทันที และฝังลึก ยากจะถอน และต้องไปทุคติเพียงอย่างเดียว หากมีบุญด้านอื่น ได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็จะเกิดมาสมองพิการ ปัญญาอ่อน หรือโง่ เข้าใจอะไรยาก ลองคิดดูว่า .. มันอันตรายและมีภัยเวรหนักหนาแค่ไหน กับการดื่มเหล้า
- พระพุทธศาสนามีหลักสำคัญคือ สติ จิตผ่องใส การกินเหล้าเป็นประจำ ส่งผลให้ขาดสติ จิตมีโมหะ ย้อมจิตให้ผิดเพี้ยน ทำลายสมอง จะมีจิตสำนึกตกต่ำลงกว่าปกติของการเป็นมนุษย์ เป็นการกระทำจิตตนให้ลงไปอยู่ใกล้กับภพของสัตว์เดรัจฉาน ที่รู้จักแค่การกิน นอน สืบพันธ์ หาความสุข เข้าใจธรรมะตามความเป็นจริงได้ยาก ฯ
- ในพระไตรปิฎกจึงบอกไว้ว่า.. การผิดศีลห้า ข้อที่มีโทษกับตัวเองมากที่สุด คือการดื่มเหล้า เสพของมึนเมา อันเป็นเหตุให้ขาดสติ (ทั้งนี้คนที่ นาน ๆ กินที กินนิดหน่อย ก็มีผลเสียน้อยกว่าคนที่กินประจำ กินมาก)
ถ้าสมาทานเอง ขาดข้อใด ถือว่าขาดแค่ข้อนั้น ให้ระลึกรู้ว่าข้อใดขาดแล้วเริ่มสมาทานใหม่ได้เลย อานิสงส์ข้ออื่นยังอยู่ครบถ้วน หากยังทำได้ไม่ครบ ให้สมาทานข้อที่ทำได้แน่ ๆ แล้วมั่นคงอย่าให้ขาด จิตพัฒนาข้ออื่นจะตามมาเอง
..
สำหรับนักบวช 10 ข้อเบื้องต้น ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องพูดถึงข้ออื่น ขาดข้อใดข้อหนึ่ง ถือว่าขาดทั้งหมด และนักบวชไม่มีศีล ย่อมเจริญธรรมไม่ได้ บรรลุธรรมไม่ได้ และถือเป็นบาปร้ายแรงดังพุทธพจน์ที่ตรัสว่า เป็นหนี้บริโภค การกินข้าวชาวบ้านโดยที่ตัวไม่มีศีล ไม่มีสติ ยังไม่เท่ากินก้อนไฟร้อนแรงลงในปาก ฯลฯ
- (จะไปทำบุญก็ดูพระเณรวัดนั้นบ้าง อย่าสักแต่ว่าทำ ดูด้วยว่า รักษาศีลได้ไหม เอาแค่สิบข้อแรกนี่ถ้าทำไม่ได้ ไม่ต้องไปส่องข้ออื่นเลย วัดนั้นสร้างอะไรนอกศาสนามาให้คนกราบไหว้หรือเปล่า ถ้าไม่รักษาศีล หรือมีเทพนอกศาสนา ไหว้บูชาผี นั่นเดียรถีย์เต็มตัว ไม่ใช่ภิกษุในพระพุทธศาสนา
- ทำบุญด้วยเท่ากับส่งเสริมโจรในคราบผ้าเหลือง เป็นส่วนหนึ่งในการทำลายศาสนา เลิกซะทีเถอะว่า ทำบุญแล้วได้บุญแล้ว พระจะไปทำอะไรก็ช่าง พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนแบบนี้ ||
..
ถ้าสำนักพุทธจะเคร่งครัดแล้วทำให้นักบวชทุกวัดทั่วประเทศ มีศีลสิบข้อแรกบริสุทธิ์ เท่านี้ก็เชื่อว่า จะกำจัดมารศาสนา พวกปลอมบวชออกไปได้จำนวนมาก ผู้ตั้งใจบวชจริง ศีลจะคือความสุข ผู้ปลอมบวช ศีลจะคือสิ่งที่ไม่ต่างกับกรงขัง อึดอัด แน่นทึบ และไม่สามารถรักษาศีลได้ ความเสียหายจนถึงปาราชิก ท่านว่าก็เพราะรักษาศีล 10 ข้อต้นนี้ไม่ได้นั่นแหละ จึงเป็นเหตุชักจูงไปถึงปราชิกในอนาคต
..
หมายเหตุ : การไม่รับทองเงิน ความหมายคือ ไม่รับไว้เป็นของส่วนตัว ด้วยจิตที่คิดหวังเป็นของส่วนตัว โลกอยากได้ หวงแหนเหมือนสมับติส่วนตัว แต่ถ้ารับแล้วตั้งใจเก็บไว้เพื่อส่วนรวม หรือเพื่อของสงฆ์ ข้อนี้อนุโลมได้ว่าไม่ขาด แต่ก็มัวหมองอยู่ดี
- การรับเงินเพื่อเข้ามูลนิธิ หรือเป็นกองกลางสงฆ์ หรืออย่างโครงการผ้าป่าช่วยชาติ ไม่ถือว่าผิด ไม่มัวหมอง เพราะไม่มีเจตนาเพื่อตนเอง (พวกหนอนพระไตรปิฎกที่ตีความไม่เป็น กล่าวร้ายพระอริยะ สติวิปลาสไปแล้ว กรรมติดจรวดมาก)
..
ความจริง สำนักพุทธ ควรจะจัดการเรื่องนี้ให้ถูกต้องตามธรรมวินัย กำหนดกฎหมายข้อปฏิบัติให้วัดทุกวัด ห้ามรับเงินเป็นของส่วนตัว แต่ให้มีกองกลางที่โปร่งใส โดยมีคณะกรรมการวัดดูแล พระจะใช้อะไรก็เบิกไปใช้ เท่าที่จำเป็น หรือเบิกไปเกินไปก่อน กรณีเดินทาง แล้วเหลือค่อยเอามาคืน เห็นอ้างกันจังว่า บลาๆ แต่พระพุทธเจ้าตรัสห้ามพระรับเงิน ไม่ฟังกันเลย ก็สึกออกไปดีกว่ามังครับ บวชเพื่อสละ ไม่ได้บวชเพื่อมาสะสมเงินทองนะจ๊ะ
..
ถ้าทำได้จริง พระเณรก็ไม่เดือดร้อน อาจแบ่งส่วนหนึ่งเหมือน Vat เป็นกองกลางของสงฆ์ทั้งประเทศ วัดกันดาร ก็ได้เบิกไปใช้ยามจำเป็น เราควรอยู่แบบองค์กรสงฆ์ระดับประเทศ ไม่ใช่วัดใครวัดมัน เขตใครเขตมัน ไม่ใช่รวยกระจุก จนกระจาย วัดที่มีก็ล้นเหลือ วัดที่ขาดแคลนก็ขาดซะ
- ทำแบบนี้ คนทำบุญทีนึงเท่ากับได้ทำบุญกับพระทั่วประเทศ โอ้โห.. โคตรบุญใหญ่ มหาสังฆทานของจริง แล้วบุญใหญ่ก็จะส่งให้มีสิ่งดี ๆ ในชีวิต แต่ละครอบครัวมีสิ่งดี ประเทศโดยรวมมันก็ดีขึ้นด้วยนะ..
..
ทำได้แบบนี้ พระทั่วประเทศจะสบายขึ้น ลดภาระการเกี่ยวข้องกับเงินทอง ที่จะนำไปสู่ปาราชิกได้ ลดพวกมารศาสนา ที่จะอยู่ไม่ได้ เพราะที่อยู่ได้ ก็เพราะมันได้เงินง่ายไง ไม่มีอะไรทำก็มาบวช จนผู้คนเสื่อมศรัทธา
ถ้าสำนักพุทธไม่ทำอะไรให้ดีขึ้นกว่าปัจจุบัน ผมว่า อย่าว่าแต่ห้าพันปีเลย เอาแค่สองพันกว่าปีนี่ คนก็แทบไม่อยากไปทำบุญ ไม่อยากไหว้พระกันแล้ว แม้จะรู้ว่าพระดีมีอีกมาก แต่ปกติของพระดี ท่านก็ไม่ค่อยคลุกคลีกับผู้คน ยกเว้นมาเทศนาโปรดแสดงธรรมเป็นหลักเท่านั้น (จริงไหม??)
..
- ใครรู้จัก ผ.อ. สำนักพุทธ ฝากข้อความนี้ถึงท่านด้วยนะครับ เผื่อจะช่วยกันรักษาพระศาสนา ให้อยู่เกินหมื่นปี ไม่ใช่ล่อแร่แบบตอนนี้ (อย่าลืมมะว่า ภัยพิบัติก็เกิดจากประชาชนขาดศีลธรรม พระพุทธเจ้าตรัสไว้
โลกมันเสื่อมทรามอย่างน่าใจหาย ภายในแค่สิบกว่าปี หลังจากเน็ตแรงขึ้นนี่หละ ความชั่วทำได้ไว เข้าถึงได้ง่าย จิตเป็นอกุศลกันง่ายกว่าเดิมมาก มันถึงได้เดือดร้อนกันไม่เว้นวันอยู่นี่หละครับ)