เคยคิดว่าถ้าได้บวช แล้วให้แม่ได้เป็นเจ้าภาพ แม่ได้ประเคนอาหาร ก็คงจะดี เพราะโอกาสเกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา และการบวชด้วยความเข้าใจ มีศรัทธาและปัญญาประกอบ ไม่ใช่ทำได้ง่าย และคงมีอานิสงส์ให้แม่ผม เขาไปมีสุขอีกหลายแสนชาติ
..
เพราะชาตินี้เขาลำบากมาก และประกอบกับการเป็นคริสต์ทั้งตระกูล ธรรมดาอะนะ เราก็รู้เห็นอะไรพอควร ก็รู้ว่าเนื้อนาบุญที่สำคัญคืออะไร ก็อยากให้เขาได้รับ เพราะโอกาสจะเกิดมาเป็นแม่ลูกกันไม่ใช่ง่าย และไม่รู้อีกกี่ภพชาติจะได้เจอกันอีก
..
คิดไปคิดมา สว่างวาบในหัว.. นึกถึงพระไตรปิฎกที่อ่านจบไปเกี่ยวกับอานิสงส์การทำทานกับผู้มีศีลมีผลมากกว่าทำกับสัตว์เป็นแสนเท่า สำรวจชีวิตที่ผ่าน คิดว่าเป็นคนตั้งใจทำดี และก็ทำมาพอสมควร และก็ยังทำต่อไป โดยเฉพาะบุญทำพระไตรปิฎก และสื่อธรรมเผยแพร่แจกฟรี
..
ก็เลยคิดได้ว่า จะรอให้บวชแล้วค่อยไปบิณฑบาตรทำไม ก็ทำตัวให้ดี ประคองศีลให้บริสุทธิ์ คงกระแสจิตแห่งเมตตา และมุ่งมั่นเพื่อประกอบกรรมดี แล้วก็ไปเอาข้าวแม่มากิน ให้แม่ทำกับข้าวให้กิน แค่นี้.. อาจจะดีกว่าไปห่มเหลือง แล้วยังไม่รู้ว่านิพพานคืออะไร และรักษาศีลสิบข้อแรกไว้ไม่ได้ซะอีก
..
แค่นี้แม่ผมก็ได้บุญในการทำพระไตรปิฎก เพราะให้อาหาร เท่ากับให้ชีวิต ให้ที่อยู่เท่ากับให้ทุกอย่าง ให้ความรักเมตตา มองด้วยสายตาปรารถนาดี ยิ่งเราดีเท่าไหร่ ทำบุญเท่าไหร่ ผลสะท้อนคืออานิสงส์แห่ง่บุญก็มากมายเกินตามขึ้นเช่นกัน
..
เราจ้องแต่จะหาคนดีไปทำบุญ ด้วยบ้าบุญกันซะเยอะ แต่บุญที่พระพุทธเจ้าสอนในมงคลสูตร กลับเอามาสวดเป็นคาถาขลัง โดยที่แปลไม่ออก แล้วไม่เอาแต่ละข้อมาทำ ซึ่งในนั้นก็มีการบำรุงบิดามารดาผู้มีคุณ ญาติพี่น้อง สามีภรรยา บุตร และการทำตัวเองให้เป็นพระ ให้เป็นผู้ทรงศีลซะเอง
..
ทำบุญกับตัวเอง สร้างตัวเองให้ทรงคุณธรรม มีศีล คนอยู่ใกล้ก็ได้ทำบุญใหญ่ไปด้วย พ่อแม่ก็ได้บุญไปด้วย ตัวเองก็เจริญไปด้วย บางทีธรรมะ มันไม่ได้มีอะไรยาก หรือต้องมีขั้นตอนซับซ้อน แต่ที่ยุ่งยากซับซ้อน นั่นเพราะเราไปห่วงแต่หลักวิชาการ ที่ท่านสืบทอดแบบละเอียด เพื่อรักษาพระศาสนา
..
สุดท้ายแต่ละคน อาจไม่จำเป็นต้องรู้เยอะเลย เอาแค่ฟังอรรถกถา กรณียเมตตสูตร ฟังซ้ำไปมา แล้วน้อมจิตทำตามให้ได้ แค่นั้นอาจเพียงพอแล้วสำหรับหลายคน เพราะเมตตา คือต้นเหตุของทุกอย่าง แค่ประคองจิตมีเมตตา ก็เท่ากับเจริญสติดูจิตไปในตัว
..
เมตตา ส่งให้เจอใครก็อยากช่วยเหลือ (ทำทาน) เมตตา ทำให้รักษาศีลเองโดยไม่ต้องจำว่ามีกี่ข้อ เพราะไม่อยากเบียดเบียนตนและผู้อื่น เมตตาเป็นการภาวนา และเป็นการวางฐานจิตให้ขึ้นสู่ฌาณ เพื่อการบรรลุธรรม (ผิวสวย สุขภาพดี ก็เพราะจิตมีเมตตา หลั่งฮอร์โมนดีออกมา)
..
ถ้าไม่มีเมตตาแค่ตัวเดียว ทุกอย่างจบ ท่องพระไตรปิฎกจบได้ทุกตัวอักษร ก็ไม่มีค่าอะไร ถ้าอ่านพระไตรปิฎกจบ จะรู้ว่า แต่ละคน รู้หลักเพื่อตัวเองไปปฏิบัติ ไม่มากเลย คงจะดี ถ้าเราหาหลักง่าย ๆ สอนเด็กและคนรุ่นใหม่ ที่มีเหตุมีผล
..
ตั้งใจเขียนสั้น ๆ เพราะคนไม่อ่านอะไรยาว ๆ แต่ก็ทำใจไม่ได้ เพราะธรรมะสั้นๆ แค่เอามาท่องเป็นประโยค ตัดมาขาดคำประกอบ มันทำให้คนหลงทาง ทำลายศาสนาก็เห็นกันอยู่
..
ยังมีชีวิต มาเจริญเมตตาจิตกันนะครับ เพราะยุคนี้มันกลียุค มีแต่สิ่งเร้าให้สติแตกได้แบบไม่น่าเชื่อ (แอบสอนตัวเอง) ทำตัวให้ดี เพื่อส่งบุญให้พ่อแม่ตอนท่านยังมีชีวิต ไม่ใช่รอให้ตายก่อน แล้วค่อยทำบุญไปให้ สังคมจะดีกว่านี้ ถ้าทุกคนสนใจเรื่องศีลธรรมเป็นสำคัญมาก่อน
..
พูดอีกก็เหนื่อยใจอีก เพราะเราสอนศีลธรรมกันในแบบที่ชวนน่าเบื่อ และกลายเป็นวิชาที่ยากเกินจะทำได้ การย่อยง่ายด้วยตัวเอง แล้วหมั่นสอนลูกหลาน วันละเล็กละน้อย จะดีกว่ามากครับ เดี๋ยววันหลังมาแนะนำวิธีจ้างให้ลูกเป็นคนดีอีกทีละกัน บางอย่างมันก็ต้องมีเทคนิคหละ
..
..
เพราะชาตินี้เขาลำบากมาก และประกอบกับการเป็นคริสต์ทั้งตระกูล ธรรมดาอะนะ เราก็รู้เห็นอะไรพอควร ก็รู้ว่าเนื้อนาบุญที่สำคัญคืออะไร ก็อยากให้เขาได้รับ เพราะโอกาสจะเกิดมาเป็นแม่ลูกกันไม่ใช่ง่าย และไม่รู้อีกกี่ภพชาติจะได้เจอกันอีก
..
คิดไปคิดมา สว่างวาบในหัว.. นึกถึงพระไตรปิฎกที่อ่านจบไปเกี่ยวกับอานิสงส์การทำทานกับผู้มีศีลมีผลมากกว่าทำกับสัตว์เป็นแสนเท่า สำรวจชีวิตที่ผ่าน คิดว่าเป็นคนตั้งใจทำดี และก็ทำมาพอสมควร และก็ยังทำต่อไป โดยเฉพาะบุญทำพระไตรปิฎก และสื่อธรรมเผยแพร่แจกฟรี
..
ก็เลยคิดได้ว่า จะรอให้บวชแล้วค่อยไปบิณฑบาตรทำไม ก็ทำตัวให้ดี ประคองศีลให้บริสุทธิ์ คงกระแสจิตแห่งเมตตา และมุ่งมั่นเพื่อประกอบกรรมดี แล้วก็ไปเอาข้าวแม่มากิน ให้แม่ทำกับข้าวให้กิน แค่นี้.. อาจจะดีกว่าไปห่มเหลือง แล้วยังไม่รู้ว่านิพพานคืออะไร และรักษาศีลสิบข้อแรกไว้ไม่ได้ซะอีก
..
แค่นี้แม่ผมก็ได้บุญในการทำพระไตรปิฎก เพราะให้อาหาร เท่ากับให้ชีวิต ให้ที่อยู่เท่ากับให้ทุกอย่าง ให้ความรักเมตตา มองด้วยสายตาปรารถนาดี ยิ่งเราดีเท่าไหร่ ทำบุญเท่าไหร่ ผลสะท้อนคืออานิสงส์แห่ง่บุญก็มากมายเกินตามขึ้นเช่นกัน
..
เราจ้องแต่จะหาคนดีไปทำบุญ ด้วยบ้าบุญกันซะเยอะ แต่บุญที่พระพุทธเจ้าสอนในมงคลสูตร กลับเอามาสวดเป็นคาถาขลัง โดยที่แปลไม่ออก แล้วไม่เอาแต่ละข้อมาทำ ซึ่งในนั้นก็มีการบำรุงบิดามารดาผู้มีคุณ ญาติพี่น้อง สามีภรรยา บุตร และการทำตัวเองให้เป็นพระ ให้เป็นผู้ทรงศีลซะเอง
..
ทำบุญกับตัวเอง สร้างตัวเองให้ทรงคุณธรรม มีศีล คนอยู่ใกล้ก็ได้ทำบุญใหญ่ไปด้วย พ่อแม่ก็ได้บุญไปด้วย ตัวเองก็เจริญไปด้วย บางทีธรรมะ มันไม่ได้มีอะไรยาก หรือต้องมีขั้นตอนซับซ้อน แต่ที่ยุ่งยากซับซ้อน นั่นเพราะเราไปห่วงแต่หลักวิชาการ ที่ท่านสืบทอดแบบละเอียด เพื่อรักษาพระศาสนา
..
สุดท้ายแต่ละคน อาจไม่จำเป็นต้องรู้เยอะเลย เอาแค่ฟังอรรถกถา กรณียเมตตสูตร ฟังซ้ำไปมา แล้วน้อมจิตทำตามให้ได้ แค่นั้นอาจเพียงพอแล้วสำหรับหลายคน เพราะเมตตา คือต้นเหตุของทุกอย่าง แค่ประคองจิตมีเมตตา ก็เท่ากับเจริญสติดูจิตไปในตัว
..
เมตตา ส่งให้เจอใครก็อยากช่วยเหลือ (ทำทาน) เมตตา ทำให้รักษาศีลเองโดยไม่ต้องจำว่ามีกี่ข้อ เพราะไม่อยากเบียดเบียนตนและผู้อื่น เมตตาเป็นการภาวนา และเป็นการวางฐานจิตให้ขึ้นสู่ฌาณ เพื่อการบรรลุธรรม (ผิวสวย สุขภาพดี ก็เพราะจิตมีเมตตา หลั่งฮอร์โมนดีออกมา)
..
ถ้าไม่มีเมตตาแค่ตัวเดียว ทุกอย่างจบ ท่องพระไตรปิฎกจบได้ทุกตัวอักษร ก็ไม่มีค่าอะไร ถ้าอ่านพระไตรปิฎกจบ จะรู้ว่า แต่ละคน รู้หลักเพื่อตัวเองไปปฏิบัติ ไม่มากเลย คงจะดี ถ้าเราหาหลักง่าย ๆ สอนเด็กและคนรุ่นใหม่ ที่มีเหตุมีผล
..
ตั้งใจเขียนสั้น ๆ เพราะคนไม่อ่านอะไรยาว ๆ แต่ก็ทำใจไม่ได้ เพราะธรรมะสั้นๆ แค่เอามาท่องเป็นประโยค ตัดมาขาดคำประกอบ มันทำให้คนหลงทาง ทำลายศาสนาก็เห็นกันอยู่
..
ยังมีชีวิต มาเจริญเมตตาจิตกันนะครับ เพราะยุคนี้มันกลียุค มีแต่สิ่งเร้าให้สติแตกได้แบบไม่น่าเชื่อ (แอบสอนตัวเอง) ทำตัวให้ดี เพื่อส่งบุญให้พ่อแม่ตอนท่านยังมีชีวิต ไม่ใช่รอให้ตายก่อน แล้วค่อยทำบุญไปให้ สังคมจะดีกว่านี้ ถ้าทุกคนสนใจเรื่องศีลธรรมเป็นสำคัญมาก่อน
..
พูดอีกก็เหนื่อยใจอีก เพราะเราสอนศีลธรรมกันในแบบที่ชวนน่าเบื่อ และกลายเป็นวิชาที่ยากเกินจะทำได้ การย่อยง่ายด้วยตัวเอง แล้วหมั่นสอนลูกหลาน วันละเล็กละน้อย จะดีกว่ามากครับ เดี๋ยววันหลังมาแนะนำวิธีจ้างให้ลูกเป็นคนดีอีกทีละกัน บางอย่างมันก็ต้องมีเทคนิคหละ
..