หลักสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจก่อน
สิ่งสำคัญของการแก้(บรรเทา)กรรม คือใจที่สำนึกผิด อยากขอโอกาสทำดีแก้ตัว ตั้งใจมั่นจะรักษาศีล เข็ดขยาดจะไม่ทำผิด ไม่ว่าชาติไหนจะไม่เบียดเบียนใครอีกแล้วทั้งกาย วาจา ใจ
ต้องซึ้งในทุกข์ที่ตนกำลังได้รับ ด้วยใจเห็นชัดว่าเราต้องเคยทำกับผู้อื่นไว้(อาจเป็นอดีตชาติ) ผลจึงส่งให้ต้องทุกข์ใจแบบนี้
แค่ยอมรับว่าทุกสิ่งเกิดจากความเลวความพลาดของตน จะมีผลบรรเทากรรมได้ทันที คือใจจะเป็นสุขขึ้นแม้ยังอยู่ในสถาณการณ์เดิม เปรียบเหมือนต้องจ่ายเงินใช้หนี้ ถึงเสียดายแต่พอทำใจได้ ไม่เสียใจเท่าการถูกปล้น
กฎของโลกคือคนทำผิดควรโดนลงโทษบ้าง ถ้ามีความประพฤติดีและได้รับโทษส่วนหนึ่งแล้ว จึงสมควรได้ลดหรืออภัยโทษ กฎแห่งกรรมเช่นกัน ถึงเวลากรรมให้ผล ต้องใช้หนี้เขาบ้าง ไม่ใช่คิดจะถ่วงเวลาผลัดหนี้ไปตลอด
ที่อาจไม่คุ้มเท่าเผชิญความจริง ข่าวหน้าหนึ่งมีผู้ต้องหาหนีคดีเกือบยี่สิบปี โดนจับกลับดีใจ ที่ไม่ต้องระแวงหลบซ่อน ออกจากคุกจะได้เริ่มชีวิตใหม่
ดังนั้นอยากให้อดทนเรื่องร้ายที่ผ่านเข้ามา ถือซะว่าใช้หนี้เก่าให้มันลดลงไปบ้าง การยอมรับและชดใช้กรรมด้วยใจที่ไม่ต่อต้าน คือการแก้กรรมแบบหนึ่ง เช่น .. ถูกใส่ร้ายหาเรื่อง หากโกรธเคืองตอบโต้ จะเท่ากับยังไม่ได้ใช้หนี้กรรม เป็นเพียงชำระดอกเบี้ยเท่านั้น
ไม่ว่าจะย้ายไปไหนก็ต้องเจอคนชั่วแบบนี้ต่อไป ใจเมตตาจะแยกคนเลวออกจากชีวิต กรรมชั่วจะทำร้ายตัวเขาเองโดยไม่ต้องตอบโต้เลย อดทนไม่ตอบโต้ได้เท่าไร ยิ่งเร่งวันจากคนเลวพวกนี้ไวขึ้น
กรรมชั่วจะสร้างเหตุการณ์ให้คนชั่วต้องเจ็บช้ำในวันใดวันหนึ่งเอง โดยที่เราไม่ต้องไปทำอะไร ส่วนการให้อภัย และกรรมดีของเราจะผลักเราและเขาไปสู่ที่เหมาะสม ให้เราย้ายไปเจอคนดีกว่า ได้ที่ทำงานได้ธุรกิจดีกว่าเก่า.
ความชั่วจะตรึงให้คนชั่วอยู่ที่เดิมกับคนเลวเห็นแก่ตัวประเภทเดียวกัน หรือผลักย้ายไปเจอคนเลวพอกัน ดูตัวอย่างพวกขับรถไร้มารยาท พวกเบ่งสารพัดคิดว่า..กูใหญ่ พ่อกูเจ๋ง
บุญหมดเมื่อไหร่ กรรมจะส่งไปเจอคนชั่วกว่า เบ่งผิดที่จนต้องตายฟรีก่อนเวลา (หรือชีวิตตกต่ำลงมาก) ให้ชาวบ้านสมน้ำหน้ามาเยอะแล้ว
หมายเหตุว่า : หากถูกใส่ร้าย เราต้องพยายามไม่ตอบโต้เขาด้วยอารมณ์ คือไม่ต้องด่ากลับ ห้ามใจไม่ให้โกรธ ซึ่งทำได้ยากมาก อาจมีหลุดสติแตกกันได้ แม้แต่ผู้ปฏิบัติธรรมก็ตาม
ยกตัวอย่าง.. คนดีมากมาย ทำความดีมามาก แต่พอโดนกระทำมากเกินไป แม้แต่อดนอน หิวจัด ก็อาจระเบิดอารมณ์แบบเกินคาดได้ (บางทีอาจเป็นเรื่องเคมีในสมอง เป็นโรคอย่างหนึ่ง ในพระวินัยยังมีข้อยกเว้น สำหรับภิกษุเสียสติชั่วคราว)
การเป็นคนดีก็ไม่ใช่นิ่งเป็นสากกะเบือยอมให้เขาใส่ร้ายอย่างในละคร ต้องรู้จักปฏิเสธ อธิบายเหตุผลให้เขาเข้าใจก่อนด้วย ถ้าอธิบายแล้ว ไม่ยอมเข้าใจ ค่อยปล่อยวาง เป็นอุเบกขานิ่งเฉย
การปล่อยให้คนเข้าใจผิดทั้งที่อธิบายได้ ถือว่าโง่เกินไป การอธิบายว่ากำลังเข้าใจผิด ถือเป็นการเมตตาอย่างหนึ่ง ให้เขาได้รู้ จะได้ไม่ก่อกรรมใส่ร้าย หรือโกรธด่าคนที่ศีลธรรมสูงกว่า หรือโดยที่อีกฝ่ายไม่มีความผิด
การปล่อยให้คนเข้าใจผิดทั้งที่อธิบายได้ ถือว่าโง่เกินไป การอธิบายว่ากำลังเข้าใจผิด ถือเป็นการเมตตาอย่างหนึ่ง ให้เขาได้รู้ จะได้ไม่ก่อกรรมใส่ร้าย หรือโกรธด่าคนที่ศีลธรรมสูงกว่า หรือโดยที่อีกฝ่ายไม่มีความผิด
กรณีในหลวง ร.9 และพระอาจารย์หลายรูป แม้แต่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตโต) ที่โดนใส่ร้าย ใส่ข้อมูลเท็จ พวกคนดีจำนวนมากพากันวางอุเบกขาสากกะเบือ คือนิ่งแบบไร้ปัญญา กลับบอกว่าต้องมาแก้ข่าว มาปราม หรือบอกความจริงคนที่เข้าใจผิดทำไม ทองก็คือทอง เดี๋ยวความจริงก็ปรากฎ
ซึ่งส่งผลเสียร้ายแรง ให้ความเชื่อผิด ๆ สืบต่อกันมา พอไม่มีใครแย้งด้วยเหตุผลที่ถูกต้อง คนก็ยิ่งคิดว่าเป็นความจริง แล้วส่งผลเสียต่อชาติอย่างหนัก กรณีพระอาจารย์รูปหนึ่ง ผู้เขียนเคยเตือนเหล่าศิษย์แต่แรกหลายปี สุดท้ายก็เจอคำตอกกลับว่า ไม่ใช่สาระ สุดท้ายพระอาจารย์รูปนั้นก็โดนใส่ร้ายเป็นระบบ จนคนเชื่อฝังใจจนทุกวันนี้
กรณีสมเด็จฯ ทรงเขียนเป็นหนังสือชี้แจง เช่นเรื่อง กรณีพระคึกฤทธิ์ ก็มีคนที่อ้างว่าตัวดีนักหนา ปรามาสอีกว่า ทำไมต้องออกมาแก้ตัว ทำไมต้องทะเลาะกันแค่ความเข้าใจคัมภีร์ที่ต่างกัน แค่คำแปล ฯลฯ
โดยที่ไม่ยอมอ่านฟังให้จบทั้งเล่ม จะรู้ว่า มันคือภัยใหญ่ของศาสนา ที่สมเด็จฯ ท่านทรงเมตตาชี้แจงไว้ให้เป็นเกณฑ์การตัดสิน ว่าอะไรถูกผิด เพื่อหลักศาสนาจะได้ไม่ถูกทำลายโดยความหวังดี
ซึ่งคนดีจำนวนมากก็ยังไม่สำเหนียก และปล่อยปละละเลย จนทุกวันนี้ศาสนาเดินมาถึงจุดที่.. วัยรุ่นส่วนใหญ่กราบพระไม่ลง ทั้งที่มีพระดีอีกมากให้กราบไหว้
ขอเถอะนะครับ ถ้าอยากบรรลุธรรม ต้องเปิดใจฟังให้ครบด้านและจากผู้เชี่ยวชาญ จะยึดพุทธวจน ก็ต้องเข้าใจรากศัพท์และที่มาของสิ่งที่กำลังยึดถือก่อนด้วย