"วจีกรรม".. เป็นบาปที่ทำง่ายและบ่อยสุด ไม่จำกัดแค่การพูดแต่รวมถึงเขียนด้วย โลกออนไลน์รุ่งเรือง ทำให้เกิดนักเลงคีย์บอร์ดที่พยายามสำเร็จความใคร่ทางตัวอักษรด้วยการด่ากราดหรือโชว์พราวไปทั่ว
ผลพวงจากระบบศึกษาไทยที่กดจินตนาการและบังคับเด็กสุดโต่งตั้งแต่เล็ก คนญี่ปุ่นมีวินัยติดอันดับโลก แต่ทำไมไม่เข้มงวดกับทรงผม ไม่ให้เด็กเล็กใส่ชุดเครื่องแบบนักเรียนในโรงเรียนรัฐบาล
- วินัยที่เกิดจากการบังคับ คือวินัยจอมปลอม ที่อยู่ในร่องในรอยเฉพาะต่อหน้าผู้คุมกฎเท่านั้น
ความเก็บกดในวัยของชีวิตที่อยากเป็นตัวของตัวเอง อยากเด่นเหนือผู้อื่น ดูทีวีเจอแต่ศิลปินแต่งตัวทรงผมสวยหล่อ ฯลฯ ถูกกดไว้มากต้องระบายออกด้วยโลกสมมุติที่สร้างตัวตนขึ้นใหม่หลายรูปแบบ
ประเภทหนึ่งคือขอด่าให้สะใจเพราะถูกกดขี่ไม่มีอิสระเลยสักด้าน ตอบสนองสิ่งที่ขาดหาย ทำไม่ได้ในชีวิตจริง คนที่ชีวิตจริงถูกกดขี่หรือไร้ความโดดเด่น มักแสดงออกก้าวร้าวลับหลัง
การกร่างในเน็ตอาจมีผลเสียมากกว่าทำต่อหน้า เพราะอาจมีคนได้อ่านเป็นพัน อ่านแล้วเสียใจ หงุดหงิด ความรู้สึกในใจทุกคนจะส่งกลับหาให้จิตเรากลายเป็นศูนย์รวมอัปมงคล
สร้างกระแสพลังงานลบดึงดูดสิ่งไม่ดีคนไม่ดีเข้าหาทำให้เครียดหงุดหงิดทุกข์ใจง่าย คนได้พบรู้สึกรังเกียจหมั่นไส้ง่ายขึ้น ส่วนใหญ่หน้าตาจะดูเหมือนคนโรคจิต หรือจิตไม่ปกติมากขึ้นเรื่อย ๆ
- ในทางตรงข้าม.. ถ้าเขียนสิ่งดีมีประโยชน์ พลังดีจะสะท้อนกลับหาเรามากเช่นกัน
การกดถูกใจยังมีอานิสงส์ หากเขาทำดีแล้วกดไม่ชอบ ผลจะคืนสนองเวลาเราทำดีอาจไม่มีคนชื่นชม เขาทำไม่ดีแต่เรากดชอบเท่ากับส่งเสริมคนทำชั่ว
เขาแสดงความเห็นหรือความสามารถพิเศษอาจไม่ดีมากแต่กดชอบเพื่อให้กำลังใจ เพื่อบอกให้รู้ว่าเรายังใส่ใจเขาอยู่ ถึงเวลาบุญจะสะท้อนกลับให้มีกำลังใจกลับมา
ผลที่เกิดทางใจและประโยชน์ที่ตามมากับจำนวนคน คือตัวตัดสินว่าสิ่งที่ทำลงไปจะส่งกลับมาให้เราอย่างไรในวันข้างหน้า
- ในทางปฏิบัติการกดไลค์หรือถูกใจ ไม่ได้หมายถึงชอบสิ่งนั้นทั้งหมด แต่หมายถึง คุณกำลังใส่ใจ สนใจ ให้กำลังใจ และให้ความสำคัญกับบุคคลนั้นอยู่นะครับ
การพูดเล่นพูดเพ้อเจ้อบ่อย จะทำให้ใบหน้าดูโง่ ดูไม่น่าเชื่อถือ พูดเล่นผิดที่ตายฟรีได้อย่างข่าวล่าสุด สั่งต้มเลือดหมูแล้วเลือดหมด ดันบอกเดี๋ยวเอาเลือดจากโต๊ะข้าง ๆ เลยโดนแทงตายแบบไม่มีใครสงสารเห็นใจ
คำหยาบเคยถูกสงวนไว้พูดที่ลับหรือเฉพาะบุคคลที่.. “ถ่อยจัด”เท่านั้น คนปกติหรือแม้แต่โสเภณีบางคนยังไม่กล้าพูดในที่สาธารณะ
แต่ปัจจุบันกระแสดาราดังพูดคำหยาบในภาพยนตร์/ทอล์คโชว์ มีผลให้วัยรุ่นจำนวนมากพูดคำหยาบติดปากจนไม่คิดว่ามันผิดศีลและส่งให้ตัวเองดูต่ำแค่ไหน
ชื่อเล่นผู้หญิงสมัยใหม่ที่ได้ยินประจำคือ.. "อีเหี้ย อีดอก อีสัตว์" สามคำยอดฮิตที่พูดกันติดปากโดยหารู้ไม่ว่า ผู้ชายมีศีล มีชาติตระกูลดี เขามองคนพูดแบบนี้เป็นสถุลหรือเป็นขนมยอดฮิตของสระบุรีเท่านั้น.... (กะหรี่ปั๊บ !!)
ไม่มีทางอยากได้เป็นแม่ของลูก ยกเว้นคนชั่วที่เอาไม่เลือก หาคนดีทำแฟนไม่ได้ ลองคิดดูว่าคนดีมีศีลหรือคนชั่วปากหมา
จะทำให้ชีวิตครอบครัวมีความสุขกว่ากันถ้าอยากได้แฟนดีมีศีลต้องเริ่มที่ตัวเองต้องมีศีลก่อนเท่านั้น
- “กู-มึง” แม้ไม่หยาบมาก แต่สำหรับคู่รักก็ควรเลี่ยง เปลี่ยนมาใช้.. “ฉัน เรา แก เธอ ฯ ” ลดระดับความสถุลลงนิดชีวิตรักจะมีความสุขเป็นมงคลทันที
( อาจมียกเว้นคนที่มีวิบากพูดคำหยาบติดมาจนชิน เวลาโกรธจัดอาจค่อนข้างทำได้ยาก ที่จะประคองสติไม่ให้ใช้คำหยาบได้ บางครั้งพูดติดปากแต่ใจไม่ได้คิด
บางคนแอ๊บผู้ดีไม่ด่าออกมา แต่กลับคิดด่าอัดแน่นอยู่ในใจ คนพวกนี้บางทีจิตใจอาจเลวกว่าคนที่เราเห็นด่าแว๊ด ๆ ซะอีก )
จากหลักการทดลองเรื่องอารมณ์เป็นคลื่นพลังงานมีผลต่อเซลล์ และการหลั่งฮอร์โมนในร่างกาย เด็กช่วงร่างกายเปลี่ยนโครงสร้าง ถ้าหมั่นพูดจาเพราะสร้างกระแสจิตดี ร่างกายจะถูกพัฒนาไปทางที่ดี ผิวละเอียดสวย
แต่ถ้าพูดคำหยาบหรือมีความเครียดสูง จะส่งให้เตี้ยแคระอ้วนดำผิวทราม (ได้ง่ายกว่า ) ยกเว้นคนบุญเก่าเยอะมาก แม้ปากเสียก็มีโอกาสโตมาหน้าตาดี แต่จะขาดเสน่ห์ สวยหล่อแบบไม่น่าคบหาเท่าไหร่
- (เตี้ยอ้วนดำ จากกรรมพันธุ์เป็นอีกเรื่องนะ)
ครูอาจารย์ต่างยืนยันว่าแค่รักษาศีลบริสุทธิ์ให้ได้สักปีผิวพรรณหน้าตาก็เปลี่ยนดูดีขึ้นได้แล้ว คนปากเหม็นหรือมีปัญหาในช่องปาก ( แล้วหาสาเหตุไม่ได้หรือรักษาหายยาก ) อาจเกิดจากกรรมเรื่องวาจา ด่าพระด่าเจ้านี่เห็นชาตินี้เลย
อย่าลืมว่าการไม่รักษาความสะอาด การใช้เสียงมาก และมีปัจจัยอื่นอีกมากที่ทำให้มีปัญหาในช่องปากได้เช่นกัน
เรื่องคำหยาบต้องพูดด้วยจิตที่หยาบด้วยถึงผิดศีล ในพระไตรปิฎก มีพระอรหันต์พูดคำหยาบบางคำจนติดปากมาแต่ชาติก่อน พระพุทธองค์ทรงชี้ว่าไม่อาบัติหรือผิดศีล
แต่สำหรับปุถุชนพูดคำหยาบมักมาจากจิตหยาบเสมอ จะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง แม้พูดด้วยใจไม่คิด แต่อาจทำร้ายจิตใจผู้ฟังหรือส่งให้เด็กรุ่นหลังทำตาม
ถ้าเป็นสิ่งดีจริง ลองพูดคำหยาบเวลาไปจีบหญิง ไปสมัครงานหรือขายของ จะรู้ว่าส่งผลเสียหรือผลดีมากกว่ากัน
- ตัวอย่างทดลองได้นะครับ “เฮ้ย..มึงซื้อไรว่ะ ไอ้หน้าเหี้ย ของกูโคตรแจ่มเลยนะมึง ” คิดว่าจะขายของได้หรือเปล่า ??
หรือ .. “อีห่า สวยฉิบหาย มาเป็นแฟนกูมั๊ย อีสัด !!” คิดว่าจะมีโอกาสได้แฟนหรือได้ส้นทีนมากินแก้เหงา??
( ผู้หญิงแปลกชอบของแปลกแบบนี้มีนะ กรรมชั่วพาให้ชอบของต่ำเป็นธรรมดา)
ความเจริญในหลายอาชีพต้องใช้น้ำเสียงที่น่าฟัง เสียงจึงจำเป็นมาก หมั่นสวดมนต์เป็นประจำ
ทำบุญด้วยเสียงเช่นอัดเสียงหนังสือธรรม พูดแต่เรื่องดีเรื่องจริงเป็นมงคล จะทำให้ปากศักดิ์สิทธิ์มีพลัง เสียงจะน่าฟังน่าเชื่อถือดึงดูดใจ แถมอ้างสัจจะเพื่ออธิษฐานจิตแก้ปัญหาให้ตนเองได้ง่ายขึ้น
ทิ้งท้ายด้วย .. “คาถามหามงคล” เมื่อทำผิดให้สวดทันทีว่า “ขอโทษ” เมื่อมีคนทำอะไรให้แม้เล็กน้อยให้สวดทันทีว่า “ขอบคุณ” เห็นคนทำอะไรอยู่ให้ท่องให้เคยชินว่า “มีอะไรให้ช่วยไหม”
แถมด้วย “คาถาเมตตามหานิยม” ที่ใช้ท่องให้คนสองคนเท่านั้นคือ..พ่อ-แม่ครับ เหนื่อยไหม?? มีอะไรเรียกใช้ได้นะครับ อยากกินอะไรหรือเปล่า ผม(หนู)จะทำแต่ความดี รักพ่อแม่ที่สุดในโลก (จุ๊บๆ)
- หัวใจของคาถาทั้งสองคือ คำอะไรก็ได้ที่พูดแล้วคนฟัง (โดยเฉพาะพ่อแม่และผู้มีพระคุณ)
ฟังแล้วจิตเป็นกุศล ชื่นใจ สบายใจ ปลื้มปีติ สองคาถานี้ยืนยันความเจริญในทุกด้านได้จริงกว่าสวดท่องบาลีแล้วคิดว่าขลังแต่ดันแปลไม่ออกสักคำ !!
ทิ้งท้ายอยากรณรงค์ให้เลิกใช้คำว่า “ขอบใจ” ให้ใช้คำว่า “ขอบคุณ” ให้เคยชิน มันคือการปลูกฝังความอ่อนน้อมในใจเราเอง และเป็นตัวอย่างให้ลูกหลาน หรือลูกศิษย์
หากเราพูดขอบคุณกับทุกคนได้ จิตเราจะอ่อนโยนลง ไม่แบ่งแยกถือตัว ส่งผลให้คนใกล้ชิดซึมซับสิ่งเหล่านี้ไปด้วย แม้เขาจนกว่า เป็นแม่บ้าน เป็นคนขับแท็กซี่ เป็นคนใช้เราก็ตาม
การพูดขอบคุณจะทำให้ผู้ฟังรู้สึกดีกว่าคำว่าขอบใจ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน. ซึ่งคนที่จิตละเอียดจะเห็นตามได้ง่าย
- แต่ในทีวี เรามักเห็นบทที่แม้เป็นเด็กวัยรุ่น แต่กลับใช้คำว่า.. ขอบใจ กับแม่ค้า กับคนใช้ กับหลายคนที่ทำอะไรให้ ชีวิตจริง ดาราดังบางคนยังอ่อนน้อมต่อแม่บ้านในกอง พูดขอบคุณฯ ถึงเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนได้ง่าย
หากอยากให้คนรอบข้างซึมซึมความอ่อนน้อม ซึ่งส่งผลให้นำมาซึ่งความสุขดังคำพระอวยพร ควรเปลี่ยนมาใช้คำว่าขอบคุณให้ติดปาก
เป็นการสลายอัตตาของตัวเองด้วย ตราบใดที่เรายังรู้สึกว่าต้องใช้คำว่า.."ขอบใจ"
ซึ่งมีผลลึก ๆ เป็นคำที่แบ่งแยกชนชั้น ลดระดับคำว่าขอบคุณลงมา ย่อมไม่ใช่สิ่งดีของคนอยากฝึกตน และอยากกล่อมเกลาคนรอบข้างไปพร้อมกัน
- “ขอบคุณ” คำสั้น ๆ ที่มีแต่ได้กับได้ ยิ่งพูดจิตใจยิ่งสูงขึ้น แม้สัตว์มันจะพูดไม่ได้ แต่ยังทำท่าทางให้รู้ว่า มันขอบคุณเราได้เหมือนกัน
สำหรับพระ เชื้อพระวงศ์ บุคคลระดับสูง ฯ อาจจำเป็นต้องใช้คำว่า “ขอบใจ” เพื่อให้เหมาะสมกับพระเกียรติ เหมาะสมกับสถานะอันสูงส่งของท่าน
ไม่ใช่ว่าท่านมีอัตตา มันเหมือนกับที่เราไม่ควรยืนสูงกว่าพวกท่านนั่นแหละครับ
- การวางตัวให้เหมาะสมจำเป็นสำหรับการอยู่ร่วมในสังคม เพราะคนบางจำพวกพอลดตัวลงไป พอไม่ถือตัว ก็ลามปามได้อย่างไม่น่าเชื่อเหมือนกัน !!
จากประสบการณ์ตรง ถ้ายิ่งอ่อนน้อมกับพวกระดับล่าง (บางคน) มากเท่าไหร่ ยิ่งไม่ถือตัว เขายิ่งลดระดับการให้เกียรติ และให้ความสำคัญ รวมถึงการบริการ การพูดจา ฯลฯ ที่ออกไปทางปีนเกลียว
กลับกันเราวางตัวดี ถือตัวหน่อย เขากลับตอบรับ และให้ความสำคัญ ให้เกียรติเรามากกว่า เหมือนตลก-ดาราดัง เดินไปไหน ชาวบ้านจะให้เกียรติดารามากกว่า แต่มักเรียกจิกหัวตลกแบบไม่เกรงใจ
- "คนในปัจจุบัน น่าสงสารมาก" มีช่องทางทำบาปที่สะดวก กระจายในวงกว้างได้รวดเร็ว คือ..อินเตอร์เน็ต ที่ส่งผลเผ็ดร้อนรุนแรงมากเกินจะคาดถึง
(อ่านบทความอื่น)
(โทรศัพท์:กดที่ = มุมขวาบนสุด)